ประสบการณ์จากนักวิ่ง ที่ทำให้วิ่งมาราธอนได้ไม่ดี

ณรงค์: ผมลงมาราธอนมาสามปีแล้ว คิดว่าการนอนเป็นเรื่องสำคัญมาก คืนวันเสาร์คุณจะต้องนอนหลับอย่างน้อย 5-6 ชั่วโมง ตอนลงวิ่งจะสดชื่นมาก แต่ถ้านอนน้อยกว่านี้ หรือนอนไม่หลับเลย ตอนวิ่งจะเหนื่อยง่าย ขาจะไม่มีเเรงเลย และถ้ายิ่งแดดออก คุณจะหมดแรง ตาจะมองเป็นสีเหลือง อาจทำให้เป็นลมได้

วุฒินาท: ถ้านอนหลับได้เป็นเรื่องที่ดีมากๆ ถ้าไม่หลับอย่าซีเรียสพยายามข่มตาให้หลับ อ่านหนังสืออีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้วิ่งไม่ดี คือ อยากเข้าส้วมบนทางยกระดับ จะเป็นเรื่องที่ทรมาณมาก เพราะปกติเราจะเข้าห้องน้ำประมาณช่วงที่วิ่งอยู่บนทางยกระดับพอดี ถ้าหาห้องน้ำไม่ได้จริงๆ วิธีแก้ ผมจะบอกให้เลยจุดให้น้ำไปจะมีถังขยะสามถึง เอาถึงขยะสามถังมากั้นสามด้านติดกับผนังทางด่วน คุณก็เข้าไปปลดทุกข์ข้างใน โดยแกะกระทืบแก้วน้ำพลาสติกปูพื้น เอาฟองน้ำที่แจกจุ่มน้ำเอาไว้ใช้แทนกระดาษชำระ เสร็จธุระเก็บเอาทิ้งขยะให้เรียบร้อยก่อนที่จะมาวิ่งต่อ อ้อ หาเพื่อนนักวิ่งคอยเป็นเพื่อนเฝ้าห้องน้ำฉุกเฉินด้วยชัยยงค์: ถ้ามีฝนตกตอนกำลังวิ่งอยู่ ก็จะทำให้รองเท้าเปียก และทำให้วิ่งไม่ดีได้เช่นกัน
มิคกี้: อย่าวิ่งเร็ว เริ่มช้าๆ เกินยี่สิบกิโล ค่อยปล่อยอาหารเสริม ควรจะมี เช่น เจลต่างๆ ตอนวิ่งฟลุคราวที่แล้ว ใช้เจลไปสามซอง งานนี้ เตรียมไว้ห้า เกิน ดีกว่าขาด แบ่งเพื่อนฝูงได้ด้วยถ้าใช้ไม่หมด

เบญ:
1) วิ่งเร็วไป (ประเมินผิด) - ช่วง 1-2 โลแรก ควรช้าเข้าไว้ ช้าจนฝืนความรู้สึก แล้วค่อยเร็วขึ้น ตามความเร็วที่ประเมินมา ถ้าประเมินถูกนะ
2) ไม่ได้ taper - ช่วงใกล้แข่ง ควรจะซ้อมในปริมาณ (ระยะทาง) ที่ลดลง แต่บางวันยังมีความเร็วเท่าแข่งได้ จะได้ไม่อืดให้ร่างกายได้พักอย่างเต็มที่ รวมทั้งอย่าไปยกของหนัก โดยเฉพาะวันเสาร์ ก็เดินน้อย ๆ หน่อย ดื่มน้ำเยอะ ๆ
3) ซ้อมไม่ถึง - ถ้าซ้อมยาวน้อยไป ช่วง 10 โลท้ายอาจต้องเดิน พอเดินเวลามันไม่คอยใคร บางครั้งการซ้อมไม่ถึงก็เพราะให้เวลาในแผนการซ้อมน้อยเกินไป ครั้งหน้าให้เตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ สัก 4-6 เดือน ค่อย ๆ เพิ่มระยะทางวิ่งยาว และต้องมีวินัย
4) จิตใจไม่มุ่งมั่น ใจไม่สู้ - ช่วง 10 โลท้าย จิตใจยิ่งต้องมุ่งมั่น มุ่งสู่หลักชัย ไม่ท้อถอย ไม่ถอดใจซะก่อน สู้โว้ย คิดแต่ว่าต้องถึง ๆ ไม่ขึ้นรถ ไม่หยุด เท่านั้น
5) ขาดน้ำ - ช่วงแรก ๆ อาจไม่รู้สึก แต่ช่วงหลัง ๆ จะรู้สึกว่า ไม่ถึงโลก็อยากดื่มน้ำอีก ดังนั้นควรรับน้ำทุกจุดสักแก้ว ตุนไว้ก่อน ช่วงหลัง ๆ อาจ 2 แก้ว ถ้ารู้สึกระหายมาก (ขึ้นกับอากาศ)
6) ดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่มากไป - บางคนอาจมีปัญหากับเครื่องดื่มเกลือแร่ได้ และเครื่องดื่มเกลือแร่ที่แจกเข้มข้นเกินไป น้ำเปล่าจำเป็นที่สุด ถึงเส้นชัยแล้วร่างกายเราก็ยังต้องการน้ำเปล่า พวกมืออาชีพเขาต้องซ้อมด้วยว่า ระหว่างแข่งเขาต้องการน้ำเกลือแร่ที่เข้มข้นแต่ไหน (เตรียมมาเองตอนแข่ง)
7) ใช้ของใหม่ในวันแข่ง - ควรใช้รองเท้าถุงเท้าที่เคยซ้อมแล้ว แล้วไม่เป็นปัญหา ถ้าไปใช้ของใหม่ที่ยังไม่เคยชิน อาจมีปัญหาได้ แม้แต่ชุดวิ่งด้วย
8) ปวดอึ/ฉี่ระหว่างแข่ง - เห็นบางคนต้องแวะไปอีตอนแข่ง


คุณหมอ: วิ่งดี ไม่ดี ปัจจัยหลักร่างกาย ตัวเองและพรสวรรค์การฝึกซ้อมแผนการวิ่งและ ที่สำคัญ จิตใจ สู้ไม่สู้ วันแข่ง ถ้าอากาศเย็นๆ อย่างนี้ น่าจะวิ่งสบายนะครับ

โกโก้: เวลาในการวิ่งครับ ถ้าเราซ้อมวิ่งตอนเย็นอยู่ทุกๆวันแล้วเกิดจะต้องมาวิ่งในวันแข่ง ซึ่งตรงกับตอนเช้ามืดจะทำให้เราวิ่งได้ไม่ดีเท่าที่ควร (เพราะความดันเลือดอัตราการเต้นของหัวใจและสภาพอากาศที่ไม่คุ้นเคย)ดังนั้นควรที่จะซ้อมวิ่งตอนเช้าให้ร่างกายชินกับสภาพดังกล่าวครับ

คุณหมอ: อย่างคุณโกโก้ว่า มีส่วนครับ ซ้อมคนละเวลากับแข่ง สภาพแวดล้อมต่างกัน อาจจะทำให้วิ่งตอนแข่งไม่ดีนักแต่อย่างผมจำเป็น ต้องซ้อมตอนดึกเพราะว่าตอนเช้าขี้เกียจตื่น และต้องทำงานหนักทั้งวันเย็นๆ ก็ไม่ว่าง ดังนั้นจำเป็นต้อง ยอมรับความแตกต่างแต่ถ้าเราสนุกกับมัน ก็โอเคครับ

ออสซ่า: ปัญหาที่เกิดจากตัวเอง
1.ตื่นเต้น นอนไม่หลับ พักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่เคลียร์เวลาให้เรียบร้อย
2.ประมาทขาดประสบการณ์
3.สภาพร่างกายที่ขาดความสด กรอบมาจากการฝึกซ้อมและเหนื่อยจากงาน
ปัญหาจากภายนอก
1.ขาดเกลือแร่ และ
2.การให้น้ำไม่ตรงจุด


วีเจ: ประเด็นหลักๆ ที่ทำให้วิ่งได้ต่ำกว่ามาตรฐานคือ ซ้อมน้อยครับ แล้วก็ต่อเนื่องคือแล้วต้องทำยังไง ก็ต้องซ้อมให้ถึงครับ ตรงนี้ผมว่าสำคัญ และไม่จำเป็นต้องซ้อมวิ่งให้ได้ 40 กม.ด้วย หลักการง่ายๆ ที่ได้ผลดีกับหลายๆ ท่านคือ เอาเวลาการซ้อมเป็นหลัก คือซ้อมต่อเนื่อง ไม่ควรเกิน 2.5-3 ชม.ครับ จะวิ่งได้กี่กม.ก็พอแค่นั้น แล้วค่อยเพิ่มความเร็วเพื่อให้ได้ระยะทางเพิ่มขึ้นจะดีกว่า ที่จะวิ่งยาวๆ 30 - 40 กม. แบบนี้อันตรายครับ และอาจจะวิ่งได้ไม่กี่ปีอาการบาดเจ็บจะถามหาได้ ส่วนวันแข่งจริงก็คงต้องเกินเวลาอันนี้ก็ถือว่าเป็นการแข่ง ไม่ใช่การซ้อมเพราะถ้าซ้อมเกิน 3 ชม.ไปแล้ว ร่างกายจะบอบซ้ำเกินไป และร่างกายก็จะไม่รับรู้ถึงผลการซ้อมแล้ว และถ้าแข็งแรงจริงๆ ก็อาจจะมีการซ้อม 2 ช่วงใน 1 วัน แบบนี้จะดีกว่าครับ